วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รวม 10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

รวม 10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก


Banaue Rice Terraces
จังหวัดอีฟูเกา ประเทศฟิลิปปินส์ คือ บันไดข้าวอายุกว่าพันปี ที่แกะสลักจากภูเขาทั้งลูก เพื่อใช้เป็นพื้นที่ปลูกข้าว สมัยก่อนนั้นการทำนาจะต้องใช้พื้นที่ราบ หากแต่พื้นที่ภูมิประเทศบริเวณนี้เต็มไปด้วยเขาสูงมีที่ราบน้อย ปริมาณน้ำและเนื้อที่ในการทำการเกษตรจึงเป็นปัญหา ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน จึงได้คิดวิธีทำนาแบบขั้นบันไดขึ้นตามไหล่เขา โดยสกัดไหล่เขาให้เป็นชั้นๆ ลดหลั่นลงมาเป็นขั้นบันได เพื่อช่วยเพิ่มเนื้อที่ในการเพาะปลูก เป็นการรักษาหน้าดินไม่ให้ถูกชะล้างไป อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำทั้งในแง่การชลประทานโดยการเก็บกักน้ำฝน และยังช่วยป้องกันน้ำท่วมอีกด้วย โดยนาข้าวที่บานาเวนั้นเป็นภูเขาสูงอยู่เหนือน้ำทะเล 5,000 ฟุต นาข้าวแต่ละแห่งมีเนื้อที่ 10,360 ตารางกิโลเมตร และในปี ค.ศ. 1985 องค์การยูเนสโกได้จัดสถานที่นี้เป็นมรดกโลก
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 9. Sigiriya

Sigiriya เป็นเมืองใหญ่โบราณมหึมาของศรีลังกา สร้างขึ้นโดยพระเจ้ากัสสัปปะ ประมาณ ค.ศ. 470 โดยพระองค์ได้สร้างเมืองนี้ขึ้นเพื่อให้เป็นโลกศักดิ์สิทธ์ของพระองค์ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,300,000 ตาราง เมตร มีถนน มีระบบชลประทาน และสถานที่เกี่ยวกับศาสนามากมาย หนึ่งในนั้นคือถ้ำที่พระองค์ทรงสร้างเพื่อมอบแก่พุทธสาวกให้เป็นสถานปฏิบัติ ธรรม  แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด คือ ที่ใจกลางเมือง มีภูผาหินขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังกับป้อมปราการอันน่าเกรงขาม และทิวทัศน์ตระการตารอบด้าน ฐานของป้อมที่ก่อด้วยอิฐ มีอายุมากกว่า 1,500 ปี และถือเป็นหนึ่งในมรดกโลกของศรีลังกา
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 8. Torun
เมือง ทอรูน เป็นเมืองทางตอนเหนือของประเทศโปแลนด์ ที่ยังคงสภาพเป็นเมืองเก่าสมัยกลาง และเป็นบ้านเกิดของ Nicolaus Copernicus นักดาราศาสตร์เจ้าของทฤษฏี “โลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล” โดยเมือง Torun มี อายุถึง 1,100 ปี ซึ่งเป็นที่ตั้งถิ่นฐานเก่าของโปแลนด์ ความโดดเด่นอยู่เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าและรวมสถานที่เก่าแก่มากมาย ที่สำคัญคงสภาพเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแต่อย่างใด
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7. Tower of Hercules

ประภาคารเฮอร์คิวลิส
เป็นประภาคารและประตูสู่ ลา คอรุนญา เมืองท่าสำคัญ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน สร้างขึ้นโดยชาวโรมันในศตวรรษที่ 2 ก่อน คริสตกาล ผู้อาศัยในนิคมนี้ได้สร้างตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ไว้ และในไม่ช้าเมืองนี้ก็กลายเป็นเขตสำคัญของการค้าทางทะเล ส่วนหอเฮอร์คิวลิส เป็นประภาคารที่เปิดทำการต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกือบ 1,900 ปี ซึ่งในบริเวณเดียวกันมีสวนประติมากรรม หินแกะสลักจากเหล็ก และสุสานมุสลิม ในยุคที่อาณาจักรโรมันยังเรืองอำนาจ ถือเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่แสดงถึงประภาคารโบราณสมัยกรีก-โรมัน ซึ่งยังคงความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมไว้

สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 6. Ajanta Caves

ถ้ำอชันตา
ได้ชื่อว่าเป็นวัดถ้ำในพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่กลางเทือกเขาสลับซับซ้อน ในบริเวณฝั่งตะวันตกของที่ราบสูงเดกกัน (Deccan Plateau) การสร้างนั้นใช้วิธีขุดเจาะเข้าไปในหินบาซอลต์ (แกรนิตแข็ง) ก้อนเดียวจนเป็นวิหารขนาดใหญ่ โดยใช้เพียงสิ่วและค้อนเท่านั้น ภายในเวลาทั้งสิ้น 800 ปี เริ่มเจาะตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 3 จนกลายเป็นถ้ำมากกว่า 30 ถ้ำ เรียงตัวกันยาวหลายร้อยเมตรบนเชิงเขาสูงวงโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยว ภายในมีวิหารขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยงานแกะสลักหิน ทั้งเจดีย์ พระพุทธรูป และเรื่องราวต่างๆ ในพุทธประวัติและชาดก โดยไม่ผุพังตามกาลเวลาแม้แต่น้อย ถ้ำอชันตา สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่ของสงฆ์ ให้แยกตัวอย่างสันโดษ แต่ภายหลังเมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมถอย สถานที่แห่งนี้ก็เริ่มหมดความสำคัญลง ขาดการดูแล และถูกทิ้งร้างไปในที่สุด จนกระทั่งเลือนหายไปจากความทรงจำของชาวอินเดีย จนกระทั่งถูกค้นพบอีกครั้งโดยกองทหารอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1819

สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 5. Valley of Flowers
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

หุบเขาดอกไม้
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ในเทือกเขาหิมาลัย ใน รัฐ Uttaranchal ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย สวยงามเสมือนสวรรค์บนดินจนถูกนำมาบรรยายในวรรณคดีมาหลายศตวรรษ และปรากฏในศาสนาฮินดูมาช้านาน เพราะที่นั้นมีทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์เฮ็มกุน สถานที่ซึ่งพวกพราหมณ์ชอบนำน้ำจากทะเลสาบมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งยังได้รับความสนใจจากนักพฤษศาสตร์ เพราะเต็มไปด้วยพรรณไม้ ดอกไม้นานาพันธุ์ ด้วยความอุดมสมบูรณ์จึงถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก และอุทยานแห่งชาติในปี ค.ศ. 1982

สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 4. Metéora
เมทิโอร่า ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศกรีซ เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวนิยมจำนวนมาก ด้วยความเป็นแปลกตรงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสร้างอยู่บนก้อนหินขนาดสูง ใหญ่ โดยอดีตสถานที่แห่งนึ้ถูกใช้เป็นที่พํานักของนักบวชคริสตนิ กายออร์โธด็อกซ์ ผู้สร้างอารามไว้บนยอดเขา จากความเชื่อที่ว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดกับสวรรค์และเป็นการง่ายต่อการป้องกัน ศาสนาอื่นมารุกรานอีกด้วย ด้วยความโดดเด่นของการสร้างสรรค์ของศิลปะแบบไบแซนไทน์ เมทิโอร่า จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากยูเนสโกใน ปี ค.ศ. 1988
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 3. Bagan
พุกาม เมืองสำคัญแห่งพม่า เคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรโบราณพุกามซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งแรกในประวัติศาสตร์ พม่า ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ ดินแดน พุกาม แบ่ง ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เขตเมืองเก่า (เขตที่ตั้งอาณาจักรพุกาม) เขตเมืองใหม่ (เขตที่อยู่อาศัยปัจจุบัน) และยองอู (เขตพาณิชยกรรมและเศรษฐกิจ) มีสนามบินชื่อ สนามบินยองอู เป็นสนามบินประจำเมือง รายได้หลักของเมืองคือ การท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนที่นี่เสมอ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากแถบเอเชียด้วยกัน เนื่องจากพุกามได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ที่สวยงามและมีคุณค่า หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2,217 องค์
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 2. Leptis Magna

เมืองเลปติส เมกนา
ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงทริโปลี ประเทศลิเบีย ถูกขนามนามว่าเป็น อาณาจักรโรมันที่มีชื่อเสียงและงดงามมากที่สุดในแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันยังคงสภาพสวยงามรุ่งโรจน์ เพราะอาณาจักรถูกสร้างด้วยหินปูน จึงทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากความงดงามแล้ว จุดเด่นยังอยู่ที่ผังเมืองซึ่งถูกจัดวางอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นถนน อาคารต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความเจริญของ อาณาจักร เลปติส เมกนา ในช่วง ปี 111 ก่อนคริสต์กาล จนถึงช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด ปี ค.ศ. 211 โดยกษัตริย์ Septimus Severus ต่อมาอาณาจักรเริ่มเสื่อมสลายลงในช่วงศตวรรษที่ 4 จนกระทั่งถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีชาวยุโรป และยังคงสภาพสมบูรณ์ไว้อย่างชัดเจน ยูเนสโกจึงประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1982
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 1.The Library of Celsus

ห้องสมุดเซลซุส ตั้งอยู่ที่เมืองเอเฟซุส ประเทศตุรกี เมืองเอเฟซุสเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยปลายยุคโลหะ ในราวศตวรรษที่ 7 ก่อน คริสตกาล ภายใต้การปกครองของอาณาจักรลิเดีย ถือเป็นเมืองที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และรุ่งเรืองถึงขีดสุดอีกครั้งภายใต้การปกครองของโรมัน เป็นเมืองใหญ่ที่สุด 1 ใน 5 ของจักรวรรดิโรมัน และใหญ่ที่สุดในเขตเอเชีย ห้องสมุดเซสซุส ก็เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ แต่ปัจจุบันเหลือเฉพาะด้านหน้าของอาคารเท่านั้น ห้องสมุดเซลซุส เป็นอาคาร 2 ชั้น สร้างในปี ค.ศ. 114-117 โดย ดิเบริอุส จูลิอุส อาควิลา เพื่ออุทิศให้กับ ดิเบริอุส จูลิอุส เซลซุส ผู้เป็นบิดา โดยฝังโลงศพหินเอาไว้ที่ใต้หอสมุดและใช้เป็นแหล่งรวบรวมความรู้ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ห้องสมุดแห่งนี้มีทางเข้า 3 ทาง ตรงประตูทางเข้ามีรูปแกะสลักเทพี 4 องค์ประดับอยู่ ได้แก่ เทพีแห่งปัญญา เทพีแห่งคุณธรรม เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และเทพีแห่งความรู้ รูปแกะสลักเหล่านี้เป็นองค์จำลอง องค์จริงนั้นนักโบราณคดีชาวออสเตรียได้นำกลับไปออสเตรีย และตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเวียนนา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น